นายนนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังกล่าวต่อกลุ่มนักเรียนและนักศึกษาที่เข้าร่วมการอบรมAnimation Youth Festival Asia 2010 ตอนหนึ่งว่า ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการทำภาพยนตร์ตั้งแต่ต้น แต่มีความสนใจเกี่ยวกับภาพยนตร์มาตั้งแต่สมัยที่กำลังเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปากร และมีโอกาสไปร่วมสังเกตการณ์ในโครงการถ่ายทำสารคดีกับเพื่อนรุ่นพี่จากจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ที่เลือกสถานที่ถ่ายทำในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นเวลา 5 วันดังนั้น จึงเริ่มซึมซับข้อมูลเกี่ยวกับการเขียนบทภาพยนตร์ การถ่ายทำ หรือการจัดแสง ในเวลา ต่อมา จึง พยายามลงชื่อกลุ่มนักศึกษาประมาณ 100 คน เพื่อเรียกร้อง ให้มหาวิทยาลัย เปิดหลักสูตรด้านภาพยนตร์ได้สำเร็จ หลังจากนั้น เรียนอยู่ปี 3จึงมีโอกาสศึกษาความรู้เพิ่มเติม และเริ่มไปมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์มิวสิควีดิโออย่างต่อเนื่อง
นายนนทรีย์ นิมิบุตร กล่าวว่าตนเอง แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ แต่สำหรับในปัจจุบันนั้น ประกอบอาชีพทางด้านการโฆษณา หรือ ละคร เป็นหลัก ส่วนภาพยนตร์ เรียกได้ว่า เป็นงานอดิเรก ที่ทำด้วยความรัก เพราะเมื่อทำงานหลักมาณ 4ปี และสามารถเก็บรวบรวมเงินได้ครบถ้วนแล้ว จึงนำมาใช้ เป็นงบประมาณทำภาพยนตร์เพราะต้องลงทุนมหาศาลและผู้กำกับภาพยนตร์ในเมืองไทย ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ที่นับตัวได้ว่า มีฐานะทางการเงิน มีไม่เกิน 3-5 คนเท่านั้น นอกจากนี้ จากทำเนียบผู้กำกับภาพยนตร์ ทั้งหมด ที่มีการลงทะเบียนเอาไว้ จำนวน 100 กว่า คน แต่ ที่ มีงานภาพยนตร์ทำอย่างต่อเนื่อง มีประมาณ 10 กว่าคนเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับช่างศิลป์ และในระหว่างที่เรียนในมหาวิทยาลัย ต้อง อาศัยเพื่อนและอาจารย์ บอกให้ทราบเกี่ยวกับ การสอบ การลงทะเบียน เพราะบอกกับตัวเอง ว่ายูเรกา นี่คือการค้นพบตัวเอง เกี่ยวกับเรื่องราวของภาพยนตร์ เรื่องของ บทหรือมุมกล้อง เป็นสิ่งที่มีความสนใจ และในช่วงที่เริ่มเข้าสู่วงการภาพยนตร์นั้น เพราะต้องการอยากได้ความรู้และประสบการณ์ ที่ไม่มีสอนในห้องเรียน ต้องไปชงกาแฟให้บุคคลที่อยู่ในแวดวงภาพยนตร์ และใช้เวลาในห้องตัดต่อภาพยนตร์นานเป็นนับปี เพราะฉะนั้นแล้ว บรรดา นักเรียน นักศึกษา ที่เข้ารับการอบรมในครั้งนี้ ลองมองดูตนเองว่า มีความพร้อมมากน้อยเพียงใด ในการเข้าสู่วงการ การกำกับภาพยนตร์ และยืนยันว่า ภาพยนตร์เรื่องแรก เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะ จะสามารถบ่งบอกว่า เรา จะสามารถแจ้งเกิดได้หรือไม่ โดยภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ สามารถตอบโจทย์ คำถาม ในประโยค 1 ประโยค ได้หรือไม่
การทำภาพยนตร์ของตนเอง เป็นการทำตามความฝัน อย่างภาพยนตร์เรื่อง จันดารา ที่สร้างในปี 2542และฉายในปี 2544 นั้น มีจุดเริ่มต้นมาจาก การรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านปัญหาสังคมในช่วงดังกล่าว ทำนองที่ว่ากลุ่มเยาวชนมีเพศสัมพันธ์ และท้องก่อนวัยอันสมควรรวมทั้ง ปัญหาครอบครัวต่างๆ จึงตัดสิน ใจค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม ไปพบแพทย์ อ่านหนังสือในห้องสมุด และ ในที่สุด ไปพบหนังสือ จันดารา ของ อุษณา เพลิงธรรม หรือประมูล อุณหธูป ที่สามารถตอบคำถามถึงปัญหาสังคม ที่เป็นอยู่ ได้อย่างชัดเจน
นายนนทรีย์กล่าวว่าบทภาพยนตร์เรื่อง จันดารา มาจากหนังสือ หากผู้กำกับ 10 คน หยิบ มาดู อาจจะเลือกมุมมอง หรือตีความในการนำเสนอ แตกต่างกันออกไป และ ตนเองเมื่อตีความแล้ว จึงเห็นว่า เบ้าหลอมของชีวิตมนุษย์นั้น อยู่ ที่สถาบันครอบครัวและสิ่งแวดล้อมพ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกหลาน ก็เป็นอย่างนั้น จึงเอาปรากฏการณ์นี้ มาสะท้อน เข้ากับยุคกับสมัย โดยสะท้อนภาพออกมาเป็นบทภาพยนตร์ และ ต้อง สามารถเล่าเรื่องได้ดี กำหนดทิศทางของภาพยนตร์ ไม่ว่า จะเป็น ดราม่า แอ็คชั่น หรือ ตลกและอื่นๆ ผู้กำกับต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับ โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ และแม้แต่ เด็กเสริฟน้ำที่อยู่ ในกองถ่าย ตนเอง ยังให้โอกาสพูดและแสดงความคิดเห็น ก่อน ที่จะลงมือถ่ายทำจริงจังด้วยซ้ำไป
นอกจากนี้ นายนนทรีย์กล่าวว่า อยากจะ บอกเล่าประสบการณ์ในวงการภาพยนตร์ไทย และการทำงานที่ผ่านมา มีความยากลำบาก หลายด้าน เช่นปัญหาการเซ็นเซอร์ แต่สิ่งสำคัญคือ ผู้กำกับภาพยนตร์ ต้องมีจิตใต้สำนึกที่ดี ต่อสังคมที่ดำรงอยู่ และการทำภาพยนตร์เรื่อง จันดารานั้น เป็นดราม่า ไม่ใช่หนังโป๊แน่นอน เพราะใช้งบประมาณ เป็น 40,000,000บาท แต่ ใคร จะทำหนังโป๊ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินขนาดนั้น มีเงินเพียง 200,000-300,000 บาท จ้าง คน 2 คน ถ่าย ทำ ในห้อง ก็ ทำได้แล้ว และแม่แต่เรื่อง นางนาก ที่ทำเป็นภาพยนตร์ เป็น คนทำในลำดับที่ 21 ที่พยายามสะท้อนถึงอานุภาพของความรักที่แท้จริง
#
#
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น